ศูนย์โรคหัวใจ
ศูนย์โรคหัวใจ โรงพยาบาลกล้วยน้ำไท พร้อมดูแลทุกปัญหาโรคหัวใจ โดยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และ เครื่องมือทันสมัยครบวงจร
ศูนย์โรคหัวใจ โรงพยาบาลกล้วยน้ำไท มีความพร้อมในการดูแลทุกปัญหาโรคหัวใจ ทั้งโรคเส้นเลือดหัวใจตีบแบบซับซ้อน และ ปัญหาหัวใจเต้นผิดจังหวะ โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการสวนรักษาหลอดเลือดหัวใจ ที่มีประสบการณ์สูง และ เครื่องมืออุปกรณ์ทันสมัย โดยมีศักยภาพการให้บริการรักษาโรคต่างๆ ดังนี้
- โรคเส้นเลือดหัวใจตีบแบบเรื้อรัง และ ฉับพลัน
- โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ
- โรคลิ้นหัวใจรั่ว/ตีบ
- โรคหัวใจโต
- ภาวะหัวใจทำงานต่ำกว่าปรกติ
- ภาวะน้ำท่วมปอด
ศักยภาพการตรวจรักษา
- การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG)
- อัลตร้าซาวน์หัวใจ (Echocardiogram)
- การตรวจสมรรถภาพหัวใจโดยการวิ่งสายพาน (Exercise stress test)
- การตรวจบันทึกคลื่นไฟฟ้าหัวใจ 24 ชั่วโมง (Holter monitoring)
- การตรวจหลอดเลือดหัวใจผ่านสายสวนหัวใจ (CAG)
- การแก้ไขหลอดเลือดตีบตันผ่านสายสวนหัวใจด้วยบอลลูนและ
- ลวดค้ำยันผนังหลอดเลือด (PCI)
- การขยายลิ้นหัวใจไมตรัล (Mitral Valve) ด้วยบอลลูน (PBMV)
- การแก้ไขภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ (EP + RF ablation)
- การใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจถาวร (PPM, AICD, CRT)
- การผ่าตัดบายพาส เส้นเลือดหัวใจ (CABG)
- การผ่าตัดเปลี่ยน/ซ่อมลิ้นหัวใจ และโรคหัวใจแต่กำเนิด
ปรึกษา/สอบถามเรื่องโรคหัวใจ ทุกวัน เวลา 8.00-17.00 น.
ศูนย์หัวใจ ดูแลรักษาโดยทีมแพทย์เฉพาะทางด้านโรคหัวใจ และ พยาบาลวิชาชีพที่เชี่ยวชาญเฉพาะทาง มีห้องผู้ป่วยหนัก CCU รองรับการดูแลผู้ป่วยหนัก พร้อมรับมือกับเหตุฉุกเฉินตลอดเวลา จึงมั่นใจได้ถึงความปลอดภัย และประสิทธิภาพในการบำบัดรักษา
ขั้นตอนการฉีดสีเส้นเลือดหัวใจ
- แพทย์ผู้ทำการรักษา จะอธิบายถึงข้อบ่งชี้ และความเสี่ยงในการฉีดสีเส้นเลือดหัวใจ
- งดน้ำและอาหาร ก่อนทำหัตถการ ประมาณ 6 ชั่วโมง โดยเช้าวันที่ทำการฉีดสีสามารถทานยาได้ตามปกติ รวมถึงยาต้านเกล็ดเลือด เช่น แอสไพริน และ โคพิโดเกล โดยยาที่ต้องงดได้แก่ยาเบาหวาน และ ยาละลายลิ่มเลือด เช่น วาร์ฟาริน แพทย์จะให้งดก่อน ประมาณ 5 วัน
- เมื่อผู้ป่วยถึงห้องสวนหัวใจ จะได้นอนบนเตียงเพื่อเตรียมการตรวจ
- พยาบาลจะทายาฆ่าเชื้อ พร้อมกับห่มตัวผู้ป่วยด้วยผ้าอบฆ่าเชื้อ
- แพทย์ฉีดยาชาที่บริเวณขาหนีบข้างขวา (แขนขวาขาในบางราย) ขณะทำผู้ป่วยจะรู้สึกตัวตลอดเวลาระหว่างการฉีดสีวินิจฉัยเส้นเลือดหัวใจ ผู้ป่วยจะไม่มีอาการเจ็บ หากมีอาการเจ็บให้แจ้งแพทย์หรือพยาบาลในห้องทันที
- แพทย์จะใส่สายสวนขนาดเล็กเข้าไปทางหลอดเลือดจนถึงหัวใจ แล้วใช้เครื่องเอกซเรย์ถ่ายภาพหลอดเลือดเป็นอย่างรวดเร็ว ภาพที่ได้แสดงให้เห็นการไหลของเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจอย่างละเอียด ขั้นตอนการฉีดสีเส้นเลือดหัวใจใช้เวลาประมาณ 15–30 นาที
- เมื่อเสร็จผู้ป่วยและญาติจะได้รับคำอธิบายผลการตรวจจากแพทย์เฉพาะทางโดยตรง พร้อมดูภาพผลการฉีดสีเส้นเลือดหัวใจ
- ผู้ป่วยกลับห้องพักเพื่อคอยสังเกตอาการที่ผิดปกติอย่างใกล้ชิดและทำการกดห้ามเลือดบริเวณขาหนีบด้านขวา หรือ ข้อมือในบางราย
- ในบางรายที่มีอาการผิดปกติเช่นเจ็บหน้าอกใจสั่น ความดันโลหิตต่ำกว่าเกณฑ์ปกติ ท่านจะต้องนอนพักที่หอผู้ป่วยหนักหัวใจ เพื่อดูแลอย่างใกล้ชิด จนกว่าจะมีอาการปกติจึงส่งกลับห้องพักผู้ป่วย
หัวใจ
คือ อวัยวะที่ประกอบด้วยกล้ามเนื้อและภายในกลวง อยู่บริเวณส่วนกลางใต้กระดูกหน้าอกค่อนข้างไปทางซ้ายเล็กน้อย หัวใจมีหน้าที่สูบฉีดโลหิต นำพาออกซิเจนและสารอาหารไปยังทุกส่วนของร่างกาย หัวใจของคนเราแบ่งออกเป็น 4 ห้อง มี 2 ห้องบน และ 2 ห้องล่าง หัวใจซีกขวารับโลหิตที่ใช้แล้วจากร่างกาย แล้วสูบฉีดไปยังปอดเพื่อรับออกซิเจน โลหิตที่มีออกซิเจนก็จะกลับไปยังหัวใจด้านซ้าย และก็จะถูกสูบฉีดโลหิตผ่านเส้นเลือดใหญ่ไปยังทุกส่วนของร่างกาย
หัวใจเริ่มเต้นตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา กล้ามเนื้อหัวใจมีลักษณะพิเศษกว่ากล้ามเนื้ออื่น ๆ คือ สามารถปล่อยกระแสไฟฟ้าได้เอง ไฟฟ้าที่เกิดขึ้นจะเริ่มต้นจากหัวใจห้องขวาบน (Sinus Node) กระจายออกไปตามเซลล์นำไฟฟ้า ซึ่งมีอยู่ทั่วไปในหัวใจ เริ่มจากห้องบนขวาไปห้องบนซ้ายและลงหัวใจห้องล่าง เมื่อเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจถูกกระแสไฟฟ้านี้ก็จะเกิดการหดตัวขึ้น ทำให้เกิดการบีบตัวของห้องหัวใจ
โรคหัวใจ หรือ Heart Disease
ปัจจุบันโรคหัวใจ และหลอดเลือดมีอัตราการเสียชีวิตมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยในแต่ละปีจะมีผู้เสียชีวิตด้วยโรคหัวใจและหลอดเลือด จำนวน 54,530 คน เฉลี่ยเสียชีวิตวันละ 150 คน หรือเฉลี่ยชั่วโมงละ 6 คนเลยทีเดียว
โรคหัวใจ หมายถึง โรคต่าง ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อการทำงานของหัวใจ โดยความผิดปกติที่เกิดขึ้นในส่วนของหัวใจที่ต่างกัน ทำให้โรคหัวใจมีอาการต่างกันไปในแต่ละชนิดดังนี้
- โรคหลอดเลือดหัวใจ เจ็บหรือแน่นหน้าอก ร้าวไปตามกราม แขน ลำคอ เหนื่อย อ่อนเพลีย หรือหมดสติได้
- โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ หัวใจอาจเต้นเร็วหรือช้ากว่าผิดปกติ ใจสั่น เหนื่อยง่าย แน่นหน้าอก เวียนศีรษะ หรือคล้ายจะเป็นลม
- โรคกล้ามเนื้อหัวใจ เหนื่อยง่าย หายใจไม่อิ่ม มักมีอาการมากขึ้นเมื่อต้องออกแรงหนัก ๆ บวมตามแขน ขา นอนราบไม่ได้ และตื่นขึ้นมาไอในเวลากลางคืน
- โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด เป็นโรคที่เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อทารกอยู่ในครรภ์มารดาทารกมีอาการเหนื่อยขณะให้นม เลี้ยงไม่โต
- แพทย์ฉีดยาชาที่บริเวณขาหนีบข้างขวา (แขนขวาขาในบางราย) ขณะทำผู้ป่วยจะรู้สึกตัวตลอดเวลาระหว่างการฉีดสีวินิจฉัยเส้นเลือดหัวใจ ผู้ป่วยจะไม่มีอาการเจ็บ หากมีอาการเจ็บให้แจ้งแพทย์หรือพยาบาลในห้องทันที
- โรคติดเชื้อบริเวณหัวใจ เป็นไข้เรื้อรัง อ่อนเพลีย เหนื่อยล้า หัวใจเต้นผิดปกติ หายใจหอบเหนื่อย ไอเรื้อรังแห้ง ๆ ขาหรือช่องท้องบวม รวมถึงมีผื่นหรือจุดขึ้นตามผิวหนัง
หากท่านมีอาการดังกล่าวข้างต้น ควรเข้าพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยภาวะหัวใจโต และได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที
ภาวะแทรกซ้อนของโรคหัวใจ
- ภาวะหัวใจล้มเหลว / หัวใจอ่อนกำลัง (Heart Failure)
ภาวะหัวใจล้มเหลว ไม่ได้หมายความว่า หัวใจจะหยุดทำงาน แต่เป็นภาวะที่หัวใจไม่สามารถทำงานได้ดีอย่างที่ควรจะเป็น ภาวะที่หัวใจอ่อนแอหรืออ่อนกำลังลง ทำให้การทำสิ่งต่าง ๆ ซึ่งปกติเป็นเรื่องง่ายกลายเป็นเรื่องยากมากขึ้น แต่ก็ยังมีวิธีต่าง ๆ ที่ผู้ป่วยและแพทย์จะร่วมมือกันเพื่อช่วยให้หัวใจกลับมาทำงานได้ดีขึ้น
- หลอดเลือดหัวใจตีบตัน
โรคหลอดเลือดหัวใจตีบตันเป็นโรคหัวใจที่พบบ่อยในผู้ใหญ่ ปัจจัยเสี่ยงสำคัญ ได้แก่ อายุที่มากขึ้น การสูบบุหรี่จัด ภาวะไขมันในเลือดสูง โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง และการไม่ออกกำลังกายเป็นประจำ ทำให้มีการตีบตันในหลอดเลือด เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดได้
อาการ เจ็บแน่นหน้าอกหรือเหนื่อยง่าย จุกแน่น เสียดหรือแสบร้อนในบริเวณทรวงอก เหงื่อออก ใจสั่น เป็นลม อาจเป็นแบบฉับพลันและรุนแรงจนทำให้เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายหรือที่เรียกว่า หัวใจพิบัติ (Heart Attack) ผู้ป่วยมีโอกาสเสียชีวิตสูงหากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีและเหมาะสม ถือเป็นภาวะวิกฤติที่ต้องได้รับการรักษาโดยด่วน
- ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ
ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ หมายถึง ภาวะหัวใจเต้นเร็ว หรือช้ากว่าปกติ เนื่องจากความผิดปกติของการกำเนิดกระแสไฟฟ้าหัวใจ การนำไฟฟ้าหัวใจ หรือทั้ง 2 อย่างร่วมกัน ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะอาจเกิดจากโรคหัวใจหลายชนิด เช่น ลิ้นหัวใจผิดปกติ กล้ามเนื้อหัวใจผิดปกติ หรือหลอดเลือดหัวใจตีบตัน หรือความผิดปกติอื่น ๆ เช่น การส่งกระแสลัดวงจร มีแผลเป็นหรือก้อนไขมัน ทำให้หัวใจมีจุดที่สร้างกระแสไฟฟ้าหัวใจผิดปกติ
อาการ ใจสั่น หน้ามืด เจ็บหน้าอก อ่อนเพลีย หมดสติ หรือ หัวใจวาย ขึ้นกับอัตราเร็วของหัวใจเต้น ระยะเวลาที่เกิด รวมทั้งสาเหตุ อย่างไรก็ตามถ้าหัวใจบีบตัวได้ปกติ โอกาสเกิดหัวใจวายก็น้อย
การรักษา ภาวะหัวใจเต้นเร็วผิดปกติ ทำได้โดยการรักษาด้วยยา เริ่มด้วยยาคลายเครียด ในกรณีที่จับความผิดปกติไม่ได้ แต่ถ้าพบความผิดปกติจากคลื่นไฟฟ้าหัวใจ แพทย์อาจให้ยาต้านการเต้นผิดปกติกลุ่มต่าง ๆ หรือยาอื่น ๆ หรือใช้วิธีการจี้หัวใจด้วยคลื่นไฟฟ้าความถี่สูงเท่าคลื่นวิทยุและการฝัง เครื่องมือพิเศษ นอกจากนี้ผู้ป่วยควรหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้น เช่น ความเครียด วิตกกังวล พักผ่อนไม่เพียงพอ ออกกำลังกายหักโหม สูบบุหรี่ ดื่มน้ำชา กาแฟ เครื่องดื่มชูกำลัง เครื่องดื่มที่มีสารคาเฟอีน แอลกอฮอล์ การรับประทานยาหรือฉีดยาที่กระตุ้นหัวใจ เป็นต้น
- หลอดเลือดแดงใหญ่โป่งพอง
หลอดเลือดแดงใหญ่ในร่างกายมีหน้าที่นำเลือดแดงจากหัวใจส่งไปหล่อเลี้ยงอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกาย มีความยาวตั้งแต่ในช่องอกจากหัวใจไปจนถึงช่องท้อง ความผิดปกติที่ทำให้เกิดความอ่อนแอของผนังหลอดเลือด ไม่ว่าจะเกิดจากความเสื่อมตามอายุหรือความผิดปกติอื่นใดก็จะมีผลทำให้หลอดเลือดบริเวณนั้นเกิดการโป่งพองและแตกออกได้ ตำแหน่งที่พบบ่อยคือ หลอดเลือดแดงใหญ่ในช่องท้องและในช่องอก
- หัวใจพิการแต่กำเนิด
เกิดขึ้นเนื่องจากความผิดปกติของการเจริญเติบโตของหัวใจขณะที่อยู่ในครรภ์มารดา โดยเฉพาะในช่วง 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ โรคหัวใจพิการที่เกิดขึ้นอาจเกิดจากการมีรูโหว่ที่ผนังกั้นภายในห้องหัวใจ ลิ้นหัวใจตีบตันหรือรั่ว หลอดเลือดออกผิดจากตำแหน่งปกติ เป็นต้น สามารถวิเคราะห์ความผิดปกติได้ตั้งแต่ขณะอยู่ในครรภ์มารดา โดยการตรวจด้วยคลื่นเสียงสะท้อนหัวใจ (Echocardiogram
- หัวใจรูห์มาติก
พบในเด็กอายุ 7 – 15 ปี สัมพันธ์กับการติดเชื้อแบคทีเรียชนิดเบตาฮีโมไลติก สเตร็ปโตคอคคัสที่ลำคอ ซึ่งทำให้คออักเสบ ไข้สูง ร่างกายจะสร้างภูมิต้านทานต่อเชื้อโรคนี้ ถ้าได้รับเชื้อโรคนี้ซ้ำอีกจะเกิดอาการอักเสบที่หัวใจ โดยเฉพาะลิ้นหัวใจ ปวดบวมที่ข้อ และมีผื่นที่ลำตัว ในรายที่เป็นมากทำให้หัวใจวาย และเสียชีวิตได้ ถ้ามีอาการอักเสบซ้ำหลาย ๆ ครั้งจะเกิดพังผืดขึ้นที่ลิ้นหัวใจจนเปิดไม่เต็มที่หรือปิดไม่สนิท ทำให้ลิ้นหัวใจตีบแคบลงหรือรั่ว
อาการโรคหัวใจในเด็ก
อาการที่พบบ่อยในเด็กที่ป่วยเป็นโรคหัวใจทั้งโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด และโรคหัวใจเด็กที่เกิดภายหลังคลอด ได้แก่
- ดูดนมแล้วเหนื่อยง่าย
- หายใจเร็วกว่าปกติ บางรายมีอาการคล้ายหอบหลังออกกำลังกาย
- เหนื่อยง่ายกว่าปกติ
- น้ำหนักตัวไม่ค่อยเพิ่ม เลี้ยงไม่ค่อยโต หรือเจริญเติบโตช้ากว่าปกติ
- หัวใจเต้นแรงและเร็วกว่าปกติ
- เป็นหวัดบ่อยหรือปอดบวมบ่อยกว่าปกติ
- ในบางรายมีตัวเขียวมาแต่กำเนิด หรือเขียวในช่วงหลัง
รักษาโรคหัวใจในเด็ก สามารถให้การรักษาตามชนิดของโรคนั้น ๆ โดยทั่วไปมีวิธีรักษาดังต่อไปนี้
- รักษาโดยการให้ยาบำรุงหัวใจ ยาขับปัสสาวะเพื่อช่วยให้หัวใจทำงานได้ดีขึ้น ลดภาวะหัวใจวาย
- รักษาโดยการใช้บอลลูนขยายตรงหลอดเลือดหรือลิ้นหัวใจที่ผิดปกติ หรือใช้อุปกรณ์พิเศษอุดรูรั่วหรือเส้นเลือดผิดปกติโดยไม่ต้องผ่าตัด
- ถ้าเด็กมีอาการหัวใจเต้นผิดปกติสามารถให้ยาควบคุมการเต้นผิดปกตินั้น หรืออาจรักษาโดยการจี้ด้วยไฟฟ้าบริเวณที่ทำให้หัวใจเต้นผิดปกติ
- รักษาโดยการผ่าตัดความผิดปกติของหัวใจ โดยอาจผ่าตัดแก้ไขความผิดปกติทั้งหมดในคราวเดียว หรืออาจผ่าตัดแบบประคับประคองก่อน เพื่อบรรเทาอาการ แล้วค่อยผ่าตัดแก้ไขความผิดปกติทั้งหมด เมื่อเด็กโตขึ้น
รู้ได้อย่างไรว่าเสี่ยงเป็นโรคหัวใจ
- ในผู้หญิงที่มีค่าดัชนีมวลกาย (BMI) มากกว่า 30 มีความเสี่ยงสูงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ
- อาหารไขมันสูง เช่น เนื้อวัวติดมัน เนื้อแกะ เนื้อหมู (รวมถึงเบคอนและแฮม) เนื้อไก่ที่มีหนัง ไขมันวัว น้ำมันหมู ครีม เนย ชีส และผลิตภัณฑ์จากนมไขมันเต็มส่วน หรือพร่องมันเนย เป็นสาเหตุของโรคหัวใจประมาณ 31 %
- อาการเจ็บแน่นหน้าอกตรงกลางเหมือนมีอะไรมาทับ ร้าวไปที่กราม แขน ไหล่ หรือลิ้นปี่ เวลาเจ็บหน้าอกสัมพันธ์กับการออกแรง หรือออกกำลังกาย เจ็บแน่นหน้าอกดีขึ้นเมื่อนั่งพัก อาจเป็นอาการของโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด
โรคหัวใจเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้น ๆ ทั้งในเพศชายและหญิง โดยเฉพาะในประเทศสหรัฐอเมริกาพบผู้มีภาวะหัวใจวายทุกๆ 40 วินาที และทุกนาทีมีผู้เสียชีวิตมากกว่า 1 คน
สำหรับประเทศไทยพบแนวโน้มผู้ป่วยโรคหัวใจเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเกิดจากปัจจัย ทั้งที่ควบคุมไม่ได้ เช่น เพศ อายุ กรรมพันธุ์ และปัจจัยที่สามารถควบคุมได้ เช่น พฤติกรรมการรับประทานอาหาร และการออกกำลังกาย แม้โรคหัวใจจะเป็นอันตรายถึงกับชีวิต แต่ก็สามารถป้องกันได้โดยการปรับพฤติกรรมที่ทำให้เกิดความเสี่ยงโรคหัวใจ และเข้ารับการตรวจสุขภาพประจำปีสม่ำเสมอ
ปัจจัยเสี่ยงโรคหัวใจ
- อายุที่มากขึ้น อวัยวะต่างๆ ย่อมเสื่อมไปตามสภาพ
- เพศชายมีโอกาสเป็นโรคหัวใจได้มากกว่าเพศหญิง
- เบาหวาน ผู้ที่เป็นเบาหวานจะเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจ 2-4 เท่า
- ความดันโลหิตสูง ความดันโลหิตที่มากกว่า 140/90 มม./ปรอท จะเพิ่มความเสี่ยงมากขึ้น ผู้ที่มีความดันโลหิตสูงตั้งแต่อายุน้อยกว่า 50 ปี จะเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจมากกว่าคนปกติ
- ไขมันในเลือดสูง
- ภาวะอ้วน ในผู้หญิงที่มีค่าดัชนีมวลกาย (BMI) มากกว่า 21 จะมีผลต่อสุขภาพหัวใจ และหาก BMI มากกว่า 30 แสดงว่าคุณเป็นโรคอ้วน และมีความเสี่ยงสูงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ
- การสูบบุหรี่ ผู้หญิงที่สูบบุหรี่มีความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจมากกว่าผู้ชายที่สูบบุหรี่ และความเสี่ยงจะเพิ่มมากขึ้นอีกเท่าตัว ในผู้หญิงที่สูบบุหรี่ 3-5 มวน/วัน และในผู้ชายที่สูบบุหรี่ 6-9 มวน/วัน การสูบบุหรี่เพิ่มอัตราการตายจากโรคหัวใจถึง 300 %
- อาหารไขมันสูง ในอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูง เช่น เนื้อวัวติดมัน เนื้อแกะ เนื้อหมู (รวมถึงเบคอนและแฮม) เนื้อไก่ที่มีหนัง ไขมันวัว (tallow) น้ำมันหมู ครีม เนย ชีส และผลิตภัณฑ์จากนมไขมันเต็มส่วน หรือพร่องมันเนย เป็นสาเหตุของโรคหัวใจประมาณ 31 % ในประชากรโลก
- พันธุกรรม หากพบว่าในครอบครัวสายตรงที่มี ผู้ชายอายุน้อยกว่า 55 ปี หรือผู้หญิงอายุน้อยกว่า 65 ปี เป็นโรคหัวใจ เท่ากับคุณจะมีความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจได้มากกว่าคนทั่วไป
อาการ ที่ควรนึกถึงโรคหัวใจ
- เจ็บหน้าอก
อาการเจ็บแน่นหน้าอก 3 ลักษณะที่พึงสังเกตว่าจะเป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด
เจ็บแน่นหน้าอกตรงกลางเหมือนมีอะไรมาทับ ร้าวไปที่กราม แขน ไหล่ หรือลิ้นปี่
เจ็บแน่นหน้าอกที่สัมพันธ์กับการออกแรง หรือออกกำลังกาย
อาการเจ็บแน่นหน้าอกดีขึ้นเมื่อนั่งพัก หรือเมื่ออมยาขยายหลอดเลือดใต้ลิ้น
- ใจสั่น
- หัวใจเต้นเร็ว
- อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย
- ขาบวม
- อาการวูบ หรือหน้ามืด
หากมีอาการข้างต้น ให้คิดไว้เสมอว่าอาจมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคหัวใจค่อนข้างชัดเจน แพทย์จะส่งตรวจเพื่อวินิจฉัยโรคหัวใจ และทำการรักษาต่อไป ควรมาตรวจคัดกรอง เพื่อให้แน่ใจว่ามีปัญหาโรคหัวใจหรือไม่ กับแพทย์เฉพาะทางโรคหัวใจ
โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ
โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ เป็นอีกหนึ่งโรคที่มีความรุนแรง และสามารถทำให้เสียชีวิตได้ โดยโรคหลอดเลือดหัวใจตีบเป็นโรคที่ทำให้เสียชีวิตมากเป็นอันดับสองรองลงมาจากโรคมะเร็ง หากรู้ตัวว่าเป็นแล้วต้องมีการดูแลตนเองเป็นอย่างดี เพื่อยืดอายุของคนไข้ให้ยาวนานขึ้น ด้วยการปรับพฤติกรรมและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด หากกระทำได้อย่างเหมาะสมก็จะสามารถต่อเวลาชีวิตออกไปได้
อาการของโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ
- เจ็บแน่นหน้าอก
- เหนื่อยง่ายขณะออกแรง
- หัวใจล้มเหลวเฉียบพลันและเรื้อรัง
- ความดันโลหิตต่ำเฉียบพลัน
- หมดสติหรือหัวใจหยุดเต้น
ปัจจัยเสี่ยงโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ
1.ปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้
- อายุที่มากขึ้นมีโอกาสเป็นเพิ่มขึ้น
- เพศชายเป็นได้มากกว่าเพศหญิง หากในวัยหมดประจำเดือนเพศหญิงมีโอกาสเป็นเท่ากับเพศชาย
- ประวัติครอบครัว
2.ปัจจัยที่ควบคุมได้
- สูบบุหรี่
- ไขมันในเลือดสูง
- ความดันโลหิตสูง
- ไม่ออกกำลังกาย
- น้ำหนักมากหรืออ้วน
- โรคเบาหวาน
- กินอาหารไม่มีประโยชน์
- ความเครียด
ผลกระทบหลอดเลือดหัวใจตีบ
โรคหลอดเลือดหัวใจตีบเป็นโรคที่มีอันตรายถึงชีวิต โดยเฉพาะถ้าหากปล่อยทิ้งไว้หรือรู้ตัวช้า ทำให้ไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสมตามเวลา เมื่ออายุมากขึ้นหรือมีปัจจัยเสี่ยง ไขมันจะเริ่มเกาะที่ผนังหลอดเลือดด้านใน ทำให้หลอดเลือดตีบหรือแคบลง ส่งผลต่อเลือดที่ไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจ หากปล่อยทิ้งไว้อาจเกิดการปริแตกของหลอดเลือด เกล็ดเลือดหลุดเข้าไปอุดตันทางเดินของหลอดเลือด และเมื่อมีการอุดตันของหลอดเลือดหัวใจเกินร้อยละ 50 คนไข้จะเริ่มมีอาการแสดง
การวินิจฉัยโรคหลอดเลือดหัวใจ
หากคนไข้พบแพทย์ด้วยอาการแน่นหน้าอก หรืออาการอื่นที่กล่าวมาข้างต้น คนไข้จะได้รับการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจภายใน 10 นาที และเจาะเลือดเพื่อดูเอนไซม์ของหัวใจ หากสูงขึ้นแสดงว่ามีการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อหัวใจ ร่วมกับซักประวัติคนไข้ สอบถามระยะเวลาที่เจ็บแน่นหน้าอก หากมากกว่า 20 นาที อาจเกี่ยวข้องกับอาการหลอดเลือดหัวใจตีบตัน
การรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ
- หากหลอดเลือดตีบตันเพียงบางส่วน รักษาด้วยยา
- หากหลอดเลือดตันมาก รักษาด้วยการทำบอลลูนหัวใจ
- หากไม่สามารถทำบอลลูนหัวใจได้ รักษาด้วยการผ่าตัดทำบายพาสหัวใจ
การดูแลตนเองในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ
- หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่เป็นปัจจัยเสี่ยง (ควบคุมอาหาร ลดหวาน มัน เค็ม ลดน้ำหนักตัว)
- กินยาตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด พบแพทย์ตามนัดทุกครั้ง
- กินผัก ผลไม้ และดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 2-3 ลิตร
- กินอาหารแต่พออิ่ม หลังกินเสร็จพัก 30 นาทีถึง 1 ชั่วโมง เพราะหลังกินอาหารเลือดจะไปเลี้ยงที่ท้อง หากไม่พักจะทำให้เจ็บหน้าอก
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ หลังการรักษาแพทย์จะให้คนไข้ฝึกเดิน จากนั้นควรเพิ่มระยะเวลาทีละน้อย
- ทำจิตใจให้สงบ หาโอกาสพักผ่อน ลดความเครียด
- ไม่สูบบุหรี่
การดูแลตนเองเพื่อป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ
- หลีกเลี่ยงอาหารหวาน อาหารที่มีไขมันไม่อิ่มตัว และอาหารเค็มจัด
- กินอาหารที่มีไขมันน้อย
- ออกกำลังกายเป็นประจำ
- หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่
- นอนพักผ่อนให้เพียงพอ ไม่เครียด
- ควบคุมน้ำหนัก
- ตรวจสุขภาพอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
โรคหัวใจล้มเหลว
ภาวะหัวใจล้มเหลว เป็นภาวะที่หัวใจมีความอ่อนแรงและไม่สามารถสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกายได้ตามที่ต้องการ
สาเหตุ โรคหลอดเลือดหัวใจตีบหรือขาดเลือด
- โรคความดันโลหิตสูง
- โรคลิ้นหัวใจ
- โรคของกล้ามเนื้อหัวใจเอง
- โรคการอักเสบและการติดเชื้อของกล้ามเนื้อหัวใจหรือของลิ้นหัวใจ
- โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด
- หัวใจเต้นผิดจังหวะ
- การได้รับสารพิษต่างๆ เช่น ยาบ้า การดื่มสุราและแอลกอฮอล์
ผู้ป่วยสามารถรักษาตัวเองได้อย่างไร
- ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมประจำวัน และ รับประทานยาตามที่แพทย์และพยาบาลสั่งอย่างสม่ำเสมอ
- สังเกตอาการตนเองอย่างใกล้ชิดว่าคุณมีอาการผิดปกติซึ่งต้องรายงานให้แพทย์หรือพยาบาลทราบ
- ติดตามการรักษาตามที่แพทย์นัดทุกครั้งเพื่อให้แพทย์ได้ประเมิน ปรับเปลี่ยนยา และวางแผนการรักษาที่เหมาะสม
สัญญาณเตือน นอนโรงพยาบาลเพราะน้ำท่วมปอด หากมีอาการต่อไปนี้ให้โทรศัพท์ถึงพยาบาลประจำคลินิกผู้ป่วยหัวใจล้มเหลว หรือมาพบแพทย์
- น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นมากกว่า1.5 กิโลกรัมภายในเวลา 2 วัน
- ข้อเท้าหน้าแข้ง บวมมากขึ้น
- เหนื่อยหอบเวลานอนราบ
- เหนื่อยหอบผิดปกติ
- เพลียมากผิดปกติ
- ปวดศีรษะ วิงเวียนจะเป็นลม
- รู้สึกกระสับกระส่ายไม่สบายตน
- คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร
- มีอาการผลข้างเคียงจากยาที่รับประทาน
- เจ็บ หรือ แน่นบริเวณหน้าอก เมื่อออกแรง และอาการดีขึ้นเมื่อนั่งพัก หรืออมยาอมใต้ลิ้น อาการที่ควรไปพบแพทย์ที่ห้องฉุกเฉินโดยทันที
- แน่นหน้าอกเป็นอย่างมาก หายใจไม่ออก
- หอบเหนื่อยมาก
- เหงื่อออกมากผิดปกติโดยไม่มีสาเหตุ
- พูดไม่ชัด แขนขาอ่อนแรง หน้าเบี้ยว
- เป็นลมหมดสติ
Promotion Package
สถานที่ตั้ง
ชั้น 2 อาคาร 80 พรรษา (2 ชั้น) โรงพยาบาลกล้วยน้ำไท 1
วัน และเวลาทำการ
บริการทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง
กรุณาโทรจองนัดหมายก่อนรับบริการ
โทร.02-769-2000 ต่อ 1700,1007
โทร.091-8905266
แพทย์ประจำแผนก
- ดร.นพ.กิติกร วิชัยเรืองธรรม
/*
*/